Central Lab ปั้นเกษตรธรรมดาสู่เกษตรอินทรีย์ดันส่งออก
คุณสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ บ.ห้องปฏิบัติการกลาง ประเทศไทย จำกัด (Central Lab) เปิดเผยในรายการตอบโจทย์SME ว่า บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางประเทศไทย จำกัด หรือ Central Lab ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 6 สาขา คือ
1.กรุงเทพ 2. เชียงใหม่ 3.ขอนแก่น 4.สมุทรสาคร 5.ฉะเชิงเทรา และ6.สงขลา
ทำหน้าที่คือวิเคราะห์ตรวจสอบรับรองมาตรฐานให้แก่สินค้าส่งออกของไทย คือมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้เสนอในการจัดตั้งในปี 2546 และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ถือหุ้น 51% และกระทรวงการคลังถือหุ้น 49% ด้วยทุน 1,900 ล้านบาท แต่วิธีการบริหารจัดการจะเป็นรูปแบบเอกชน
โดยทำการวิเคราะห์ทดสอบสินค้าคือ สินค้าเกษตรแบบสด ทั้งพืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์,อาหารแปรรูป,น้ำดื่ม,เครื่องสำอาง,ปุ๋ยอินทรีย์,ตรวจอากาศ,ตรวจมลพิษ,ตรวจน้ำเสีย,ตรวจเฟอร์นิเจอร์ที่เคลือบด้วยสารเคมี,เครื่องหนังที่เคลือบด้วยสารเคมี เรียกว่าครอบคลุมสินค้าเกือบทุกประเภท
โดยในอดีตเน้นวิเคราะห์เพื่อการส่งออก 80% แต่ ณ ปัจจุบัน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องการเน้นไปที่กระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ (Local economy) ตั้งต้นน้ำ คือเกษตรกรทุกกลุ่ม สู่การเป็นวิสาหกิจชุมชน สู่การเป็นโอทอป และสู่การเป็นSME
นี่คือเศรษฐกิจฐานรากที่ต้องการให้สินค้าปลอดภัยหรือเป็นอินทรีย์ ผ่านเซ็นทรัลแล็ปที่สามารถตอบข้อสงสัยนี้แก่ผู้บริโภคให้เชื่อมั่นได้ และไม่สามารถโกหกผู้บริโภคได้เนื่องจากเป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ
ส่วนเรื่องของเกษตรนั้น นโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการให้ไทยเป็นเกษตรอินทรีย์ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรอาจจะต้องใช้เคมีด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเรื่องปากท้องและหนี้สิน คือ เร่งผลผลิตให้ได้ปริมาณมากๆ ต้องการให้ผลผลิตสวยงาม และใช้ระยะเวลาสั้นกว่าในการปลูกด้วยการใช้อินทรีย์ บวกกับต้นทุนที่ถูกกว่าอินทรีย์หลายเท่าตัว แต่มีโทษต่อร่างกายทั้งของผู้ปลูกและผู้รับประทาน
ทั้งนี้ ผู้ที่ปลูกด้วยวิธีอินทรีย์นั้น จะสามารถขายได้มากกว่าเคมีแน่นอน เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการดูแลตนเองมากขึ้น ก็พร้อมที่จะจ่ายให้แก่เกษตรอินทรีย์ รวมถึง จะมีความร่วมมือกับ ธกส. จัดทำโครงการที่จะให้ความรู้แก่เกษตรกรตั้งแต่ต้นนำจนถึงปลายน้ำ ด้วยการตรวจฟาร์ม ตรวจน้ำ ตรวจดิน ตรวจปุ๋ย ตรวจอากาศ ตรวจเมล็ด และนำผลผลิตไปตรวจ โดยใช้เครื่องมือทางเซ็นทรัลแล็ปในการตรวจทุกกระบวนการ
ซึ่งอาจารย์สุรชัยบอกอีกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาด เนื่องจากทุกวันนี้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และเว็บไซต์หลักๆต้องการพืชผลทางการเกษตรที่เป็นอินทรีย์อย่างแท้จริง
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือกับ ธกส. สำหรับการหาพื้นที่นำร่อง นี่จึงเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของเซ็นทรัลแล็ปคือ แล็ปประชารัฐ ที่ต้องการพัฒนาชุมชนฐานราก ระยะเวลาของการตรวจสินค้าจะใช้เวลา 5-7 วัน โดยเมื่อตรวจเสร็จสิ้นแล้ว จะมีเทสติ้งรีพอร์ตให้ผู้ประกอบการเพื่อเป็นเครื่องมือการันตี สร้างความน่าเชื่อถือแก่สินค้า โดยการตรวจสินค้าจะเริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
โดยในราคาหลักหมื่นนั้น จะเป็นกระบวนการที่ละเอียดมากขึ้นที่จะตรวจไปถึงระดับดีเอ็นเอ สามารถตรวจวิเคราะห์มาตรฐานฮาลาลจากการปนเปื้อนสุกร
ส่วนประเด็นด้านการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น อ.สุรชัยได้เปิดเผยว่า ในปี 2546 มติครม.ได้มอบหมายให้เซ็นทรัลแล็ปเก็บข้อมูลผู้บริโภคเพื่อความปลอดภัย แต่ที่ผ่านมายังไม่พร้อมในการเก็บข้อมูล จึงอยากเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อให้มีข้อมูลจำนวนมากแก่ผู้บริโภค
ส่วนประเด็นการสุ่มตรวจสินค้าบนออนไลน์อาจจะทำยังไมได้เนื่องจากไม่มีงบประมาณ แต่ในอนาคตอาจจะมีการร่วมมือกับ สคบ.เหมือนในอดีต เพื่อเป็นการป้องกันและสุ่มตรวจในการป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ร่วมมือกันสุ่มตรวจสินค้าในเว็บดังๆเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลเสีย หรือเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ
SME OTOP วิสาหกิจชุมชน หรือ เกษตรกร สามารถส่งสินค้ามายังเซ็นทรัลแล็ปเพื่อการตรวจวิเคราะห์
โดย เตรียมสินค้าตัวอย่าง เช่น อาหารแปรรูป พืชผักสด ต้องมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม, เครื่องสำอาง 100 มิลลิกรัม
กรอกฟอร์มออนไลน์ได้ที่ CentralLab.online หรือคลิก
http://link..
เพียงแค่กรอกชื่อ ที่อยู่ และระบุสิ่งที่ต้องการตรวจ กดตกลง ระบบจะให้สั่งพิมพ์จ่าหน้ากล่อง เพื่อส่งตัวอย่างเข้าวิเคราะห์กับ เซ็นทรัลแล็บได้อย่างง่ายดาย และจัดส่งผลวิเคราะห์กลับถึงที่ ตามที่อยู่ที่ให้ไว้
บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CENTRAL LAB THAI ให้บริการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ
ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร และ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร
เลือกตรวจวิเคราะห์ออนไลน์กับเราได้ที่
เมนูหลักเลือกตรวจวิเคราะห์
โดย admin 2565/09/13 08:14:17
อ่าน: 274, ความเห็น: 0,
e
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ