ภาษีไวน์ผลไม้...เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
ไวน์ผลไม้ กำลังเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากผู้ประกอบการไทย เพราะเรามีแหล่งวัตถุดิบ ผลไม้ท้องถิ่นรสชาติแสนอร่อยกระจายอยู่ทุกภูมิภาค
ซึ่งการจะประสบความสำเร็จจากธุรกิจนี้นั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง นอกจากความเชี่ยวชาญในการผลิตแล้วคุณยังต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง ภาษี อย่างถูกต้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการนำเข้า หรือผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ล้วนเป็นวงจรที่เกี่ยวข้องกับภาษีทั้งสิ้น ฉะนั้น มาเสียภาษี...ให้ถูกต้องกันเถอะ
ไวน์ผลไม้ ที่เราเห็นวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้น ในทางกฎหมายแล้วอยู่ในกลุ่มสุราประเภท สุราแช่ เนื่องจากในไวน์แต่ละขวดจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ในปริมาณไม่เกิน 15% ของปริมาณไวน์ 1 ขวด ดังนั้น กฎหมายและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไวน์ผลไม้จึงเป็นกฎหมายเดียวกับผลิตภัณฑ์สุราประเภทอื่นๆ คือ พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 นั่นเอง
ทางเลือกสำหรับธุรกิจไวน์ผลไม้นั้นมีหลากหลาย เจ้าของกิจการบางคนเลือกที่จะเป็น ผู้ประกอบการนำเข้า บางคนเลือกผลิตเองเพื่อขายในประเทศ แต่บางคนก็ต้องการโกอินเตอร์ส่งสินค้าออกไปขายสร้างชื่อเสียงขจรขจายไกลถึงต่างประเทศก็มี ซึ่งทางเลือกเหล่านี้ต่างมีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ... ผู้ประกอบการทุกคนต้อง
เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำสุราจากกรมสรรพสามิต
ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (ในรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล)
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในกรณีที่มีรายได้จากการขายไวน์ผลไม้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี (หากรายได้ไม่เกินนี้แต่ต้องการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ก็สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้เช่นกัน)
จดทะเบียนพาณิชย์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตามหลักการที่ว่า... ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าอะไร อย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ตาม หากคิดรวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งขายได้เป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป หรือมีสินค้าดังกล่าวไว้เพื่อขายมีค่ารวมทั้งสิ้นเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป ต้องจดทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ข้อมูล ภาษีอากร เพิ่มเติมที่ ความรู้ภาษี-กรมสรรพากร
ถ้า นำเข้า ไวน์ผลไม้
ผู้นำเข้าไวน์ผลไม้นั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ เพียงแต่ต้อง ลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกผู้ผ่านพิธีการศุลกากร กับกรมศุลกากรเสียก่อน (ลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว) จากนั้นจึงดำเนินเรื่องทางสรรพสามิต
โดยเริ่มจากการขอใบอนุญาตขายสุราประเภทที่ 1 ขอใบอนุญาตนำเข้าสุราประเภทไวน์ ยื่นแบบรายการภาษีสุรา (แบบ สบ.103) และชำระภาษีสรรพสามิตก่อนขนไวน์ผลไม้ผ่านด่านศุลกากร และแจ้งขอปิดและขีดฆ่าแสตมป์สุรา ยื่นแบบใบขนสินค้าขาเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตาม พิธีการนำเข้าทางศุลกากร
พิธีการนำเข้าทางศุลกากรนั้นจะดำเนินการตามช่องทางที่นำเข้าสินค้ามา ได้แก่
นำสินค้าเข้ามาทางเรือ ทำพิธีการศุลกากรขาเข้าทางเรือ
นำสินค้าเข้ามาทางเครื่องบิน ทำพิธีการศุลกากรขาเข้าทางอากาศยาน
นำสินค้าเข้ามาทางรถยนต์ รถไฟ ทำพิธีการศุลกากรขาเข้าทางบก
นำสินค้าเข้ามาโดยการส่งผ่านไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ทำพิธีการศุลกากรขาเข้าทางไปรษณีย์
ถ้า ผลิต ไวน์ผลไม้
แต่ในกรณีที่คุณ เป็นผู้ผลิตไวน์ผลไม้ และขนาดการผลิตของคุณมีเครื่องจักรต่ำกว่า 5 แรงม้า และมีคนงานน้อยกว่า 7 คน คุณต้อง จดทะเบียนธุรกิจ ในนามสหกรณ์ กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร หรือเป็นนิติบุคคลเท่านั้น จากนั้นจึง ขออนุญาตจำหน่ายสุรา ยื่นขอสร้างโรงงานผลิต ตามแบบฟอร์มของกรมสรรพสามิต
เมื่อโรงงานของคุณเสร็จเรียบร้อยพร้อมรองรับการผลิตที่จะเกิดขึ้น คุณต้องแจ้งกรมสรรพสามิตก่อนล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 15 วัน ว่าคุณจะดำเนินการผลิตแล้ว รวมทั้งต้อง ทำสัญญาว่าด้วยการอนุญาตให้ทำและขายส่งสุรา กับกรมสรรพสามิต ซึ่งต้องระบุว่าจะใช้ผลไม้อะไรเป็นวัตถุดิบผลิตไวน์ และมีกรรมวิธีการผลิตอย่างไร ให้กรมสรรพสามิตอนุญาตก่อน
จดทะเบียนกลุ่มธุรกิจ... ที่ไหนนะ
สหกรณ์ คุณเป็นสมาชิกสหกรณ์ที่ไหน ให้ไปพบผู้จัดการเพื่อขอใช้ชื่อของสหกรณ์ไปขออนุญาตตั้งโรงงานสุรา
กลุ่มเกษตรกร ที่มีบุคคลผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก จำนวนไม่น้อยกว่า 30 คน ร่วมกันให้ผู้ที่จะเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า 7 คน เป็นผู้ก่อการยื่นคำขอจดทะเบียนที่สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด
บุคคลธรรมดาผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมายวิสาหกิจชุมชน จดทะเบียนที่สำนักงานเกษตรอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขตในกรุงเทพฯ
นิติบุคคล จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กลุ่ม OTOP หากประสงค์จะจดทะเบียน ให้ไปที่ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต
องค์กรเกษตรกร ตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร พ.ศ.2542 จดทะเบียนที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
พอ "ไวน์ผลไม้" ถูกผลิตออกมาให้เห็นแล้ว คุณต้อง ขอใบอนุญาตขนสุรา ที่ยังมิได้เสียภาษีออกจากสถานที่ผลิตต่อสรรพสามิตท้องที่ เพื่อส่งตัวอย่างไวน์ที่ผลิตได้ไม่น้อยกว่า 2 ลิตร ให้กรมสรรพสามิต หรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่กรมสรรพสามิตให้ความเห็นชอบตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ซึ่งกรมสรรพสามิตสามารถตรวจวิเคราะห์เสร็จเรียบร้อยภายใน 12 วันทำการ เมื่อผลการตรวจผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ไวน์ผลไม้ของคุณจึงจะได้รับอนุญาตให้ผลิตออกจำหน่าย
แต่... ใช่ว่าจะวางขายได้ทันที คุณต้องกำหนด บรรจุภัณฑ์ ฉลาก และราคา พร้อม แจ้งราคาขาย ณ โรงงาน ทั้งราคาส่งและราคาปลีก รวมทั้งผลประโยชน์ใดๆ ที่คำนวณเป็นเงินได้ ก่อนการขายไม่น้อยกว่า 15 วัน ให้กรมสรรพสามิตทราบ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี อ้อ... ต้อง ยื่นบัญชีแสดงการผลิตและการรับซื้อวัตถุดิบทุกเดือน ต่อกรมสรรพสามิตภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไปด้วยนะ
บรรจุภัณฑ์: ต้องเหมาะสม สะอาด ปิดสนิท ไม่ทำปฏิกิริยากันระหว่างภาชนะบรรจุและไวน์ และปิดแสตมป์ที่ฝาบรรจุภัณฑ์ได้
ฉลาก: ต้องระบุชนิดสุรา (ไวน์ผลไม้) ชื่อสินค้า ชื่อผู้ได้รับอนุญาต ที่ตั้งสถานที่ผลิต ส่วนประกอบหลักของไวน์ แรงแอลกอฮอล์ ขนาดบรรจุ วันเดือนปีที่บรรจุ และคำเตือนตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
ราคา: ตามประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง กำหนดมูลค่าของสุราที่ทำในราชอาณาจักรเพื่อถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี
นอกจากนี้ ก่อนนำสินค้าออกจากโรงงาน คุณต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และรับแสตมป์สุราไปปิดภาชนะบรรจุสุราทันทีที่บรรจุเสร็จภายใต้การควบคุมของพนักงานเจ้าหน้าที่
ทีนี้... ก็วางขาย ได้ทั่วประเทศแล้ว
ขายไวน์...ต้องจ่ายอะไรบ้าง
ภาษีสุรา ใช้อัตราภาษีเดียวกันทั้งผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
ภาษีสุราแช่ (ไวน์) คิดตามมูลค่าร้อยละ 60 หรือ 100 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ตามมาตรวัดของกรมสรรพสามิต (สุราแช่พื้นเมืองปัจจุบันลดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 25 หรือ 70 บาท/ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์)
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำโรงสุรา 1 โรง ปีละ 5,000 บาท
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำสุราผลไม้ที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี ใช้เครื่องจักรกำลังรวมต่ำกว่า 5 แรงม้า/ใช้คนงานน้อยกว่า 7 คน ปีละ 500 บาท
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุราผลไม้ที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี ใช้เครื่องจักรกำลังรวมต่ำกว่า 5 แรงม้า/ใช้คนงานน้อยกว่า 7 คน/ขายครั้งหนึ่งเป็นจำนวนตั้งแต่ 10 ลิตรขึ้นไป ปีละ 500 บาท
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้เก็บหรือรักษาสุราไว้ ณ ที่อื่น ปีละ 1,000 บาท
ค่าใบอนุญาตให้ทำเชื้อสุราสำหรับใช้ในโรงงาน เครื่องจักรกลกำลังรวมต่ำกว่า 5 แรงม้า/ใช้คนงานน้อยกว่า 7 คน ปีละ 250 บาท
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสุราจะต้องมีหน้าที่เสียภาษีเก็บเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทย จำนวน 10% ของภาษีสุรา
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสุราจะต้องมีหน้าที่เสียเงินกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 2% ของภาษีสุรา
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสุราจะต้องมีหน้าที่เสียเงินเข้าองค์การกระจายเสียง และแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย จำนวน 1.5% ของภาษีสุรา
ถ้า...ส่งออกต่างประเทศ
สินค้าส่งออกโดยทั่วไปมักมีอัตราอากรส่งออกเป็น 0% ไวน์ผลไม้ก็เช่นเดียวกัน หากต้องการส่งไวน์ผลไม้ที่ผลิตได้ไปขายต่างประเทศ คุณอาจ ขอยกเว้นภาษีสุราสำหรับไวน์ที่จะส่งออกไปต่างประเทศได้ โดยต้องปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงเกี่ยวกับการขอและการยกเว้นภาษีสุรา การเก็บสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บนและการขนสินค้าดังกล่าวออกจากโรงงานเพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม กรณีไม่เคยนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใดๆ มาก่อน คุณต้อง ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการนำเข้าทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) กับกรมศุลกากรก่อน (แต่หากเคยลงทะเบียนแล้วให้ข้ามขั้นตอนนี้ไป) หลังจากนั้นจึงดำเนินการ ขออนุญาตส่งสุราแช่ประเภทไวน์ออกนอกราชอาณาจักรขออนุญาตขนส่งสุรา แล้วนำใบอนุญาตดังกล่าว ไปยื่นต่อศุลกากรใน ขั้นตอนพิธีการส่งออก ตามช่องทางที่จะส่งออกสินค้า คือ ทางอากาศ ทางเรือ ทางบก หรือ ทางไปรษณีย์
โดยคุณจะต้อง จัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ เพื่อใช้ประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีด้วย
เมื่อมีรายได้จากการขายไวน์
การผลิตไวน์ผลไม้ออกจำหน่ายไม่ว่าจะ "นำเข้าเพื่อจำหน่าย" "ผลิตเพื่อจำหน่าย-ส่งออก" หรือ "เป็นผู้ส่งออก" ก็ตาม สิ่งที่คุณต้องทำคือ ยื่นแบบแสดงรายการภาษีพร้อมเสียภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากธุรกิจของคุณ ดังนี้
ภาษีเงินได้ เมื่อมีรายได้การขายไวน์ผลไม้ ทั้งขายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ คุณก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามรูปแบบธุรกิจ คือ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในกระบวนการผลิตไวน์ผลไม้ ไม่ว่าจะการผลิต บรรจุ ขนส่ง ฯลฯ ต้องมีการว่าจ้างแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้อง กระบวนการด้านภาษีที่ต้องดำเนินการในขั้นตอนนี้คือ เมื่อคุณจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง และสวัสดิการให้กับพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน ต้องมีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ทุกครั้ง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หากคุณซื้อหรือนำเข้าไวน์ผลไม้ รวมทั้งการซื้อวัตถุดิบอื่น เช่น ห่อบรรจุภัณฑ์ วัตถุดิบอื่นๆ ฯลฯ ราคาที่คุณซื้อมักบวกภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้ว เท่ากับว่าคุณเป็นผู้เสียภาษีในส่วนนี้ และเมื่อถึงคราวที่จะต้องขายผลผลิตของคุณบ้าง การตั้งราคาขายอาจมีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปได้ ซึ่งลูกค้าของคุณจะกลายเป็นผู้เสียภาษีนี้แทน แต่ที่สำคัญคือคุณต้อง ออกใบกำกับภาษีหรือบิลเงินสด (กรณีที่คุณเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้ลูกค้าไว้เป็นหลักฐานด้วย
ทั้งนี้ คุณสามารถยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีกรมสรรพากร ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตท้องที่
ข้อมูลจาก
http://link..
บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CENTRAL LAB THAI ให้บริการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ
ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร และ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร
เลือกตรวจวิเคราะห์ออนไลน์กับเราได้ที่
เมนูหลักเลือกตรวจวิเคราะห์
โดย admin 2565/09/24 14:59:08
อ่าน: 262, ความเห็น: 0,
e
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ