แพทย์เตือน ใช้กลูต้าฯเพื่อผิวขาว เสี่ยงมะเร็ง
ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง เตือนวัยรุ่นไทยชอบกินหรือฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาว เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง ทั้งอาจทำตาบอด ด้าน อย.ไม่รับรองความปลอดภัย ระบุช่วยผิวขาวแค่ระยะหนึ่ง สารหมดฤทธิ์ก็กลับเป็นเหมือนเดิม...
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยทั้งชายและหญิงนิยมฉีดผิวด้วยกลูต้าไธโอนกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะการทำผิวให้ขาวเหมือนดาราเกาหลี แม้ว่าจะเคยมีการเตือนก่อนหน้านี้แล้วในสื่อหลายรูปแบบ ก็ดูจะไม่สามารถทำให้กระแสความนิยมหลุดจากความคิดของวัยรุ่นที่คลั่งผิวขาวแบบหนุ่ม-สาวเกาหลีได้เลย ซึ่งการฉีดและกินกลูต้าไธโอน เป็นอันตรายต่อตัวเอง โดยเฉพาะผลในอนาคตที่อาจจะเกิดตามมา เพราะโดยทั่วไปเม็ดสีผิวของคนเราต่างกัน
ทั้งนี้ โดยทั่วไปวงการแพทย์จะใช้กลูต้าไธโอน รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ เนื่องจากกลูต้าไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ สึกหรอ ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน กรณีของการนำกลูต้าไธโอนไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้น ถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ขึ้นมาเอง เนื่องจากคุณสมบัติรองของกลูต้าไธโอน สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน ( Melanin) จึงมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการดูแลผิว
ที่น่าห่วงไปกว่านั้น พบว่ากลูต้าไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศอื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลี เช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ จึงเกิดปัญหาความบริสุทธิ์ของยา ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดดังกล่าว โดยเฉพาะขณะนี้พบว่าวัยรุ่นที่นิยมฉีดผิวมีการฉีดเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปี ทั้งกลุ่มผู้หญิง ผู้ชาย และเพศที่สาม ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ที่ฉีดสีผิวมักเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และบางคนฉีดเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ เพราะเข้าใจว่าจะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ผิวขาวรวดเร็วยิ่งขึ้น นายแพทย์จิโรจกล่าว
นพ.จิโรจ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่น่าวิตก ก็คือปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ คือจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซท์) ในผิวหนัง มีประโยชน์ เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆ และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็นทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่าย ถ้าอักเสบบ่อยๆ อาจถึงขั้นตาบอด ประการสำคัญที่สุดที่ขอเน้นย้ำก็คือขณะนี้ ทั้งสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูต้าไธโอน เพื่อทำให้ผิวขาว เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลเสียในระยะยาวที่ยังไม่มีการประเมินได้ชัดเจน ส่วนกลูต้าไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้นทะเบียนรับรอง โดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีผลต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนานๆ ก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงนั้น สีผิวของคนเราในแต่ละคนแตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มจะมีแคปซูลของเม็ดสีเมลานินมาก คนที่มีผิวขาวจะมีแคปซูลของเมลานินน้อย การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก ดังนั้นจึงขอฝากความห่วงใยไปยังวัยรุ่นไทย ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ให้มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หลงตามกระแสดังกล่าวให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ เลือกใช้จ่ายในด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะดีกว่า หากวัยรุ่นหรือประชาชนต้องการให้มีผิวพรรณดี ขอให้ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด กินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม เนื่องจากในผักผลไม้จะมีวิตามินซีช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที และดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้ามีความต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีด้วยสามารถใช้ครีมบำรุงที่ผสมสารกันแดด เพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวได้
ข้อมูลจาก
http://link..
บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CENTRAL LAB THAI ให้บริการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ
ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร และ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร
เลือกตรวจวิเคราะห์ออนไลน์กับเราได้ที่
เมนูหลักเลือกตรวจวิเคราะห์
โดย admin 2565/10/20 14:04:46
อ่าน: 270, ความเห็น: 0,
e
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ